ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ครั้งหนึ่ง เมื่อเลือดของฉันไหลนองบนท้องถนน

ครั้งหนึ่ง เมื่อเลือดของฉันไหลนองบนท้องถนน


ภาพแคปหน้าจอ : 

ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย


ช่วงนี้ทราบข่าวว่า สภากาชาดไทยขาดแคลนเลือด มีผู้ไปบริจาคเลือดน้อยลง จึงอยากนำเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเองมาเล่าให้ฟังค่ะ


"ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เลือดของฉันเคยไหลนองบนท้องถนน" อ่านไม่ผิดค่ะ เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 20 กว่าปีมาแล้ว ผู้เขียนเคยประสบอุบัติเหตุถูกรถชนถึงขั้นสลบไป 2 วัน 2 คืน มารู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงของโรงพยาบาล หน้าบวมเขียวปี๋ แก้ม ตา จมูกแทบจะเป็นระนาบเดียวกัน หลายคนคิดว่าไม่รอดแน่ ๆ  แต่ปาฏิหาริย์ก็มีจริง ในวันที่ 3 ผู้เขียนก็รู้สึกตัว เมื่อลืมตาขึ้นมา สิ่งแรกที่เห็นคือ ถุงเลือดที่แขวนอยู่บนเสาข้างเตียงเคียงคู่กับขวดน้ำเกลือ สิ่งที่นึกขึ้น ณ เวลานั้นคือ เลือดใครน่ะ แล้วก็หลับต่อเพราะฤทธิ์ยา 


ผู้เขียนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลอีกประมาณ 1 สัปดาห์ แล้วก็กลับมาพักต่อที่บ้าน จนกระทั่งหายเป็นปกติดี เหตุการณ์ในครั้งนั้น หมอบอกว่าผู้เขียนเสียเลือดเยอะมาก ต้องให้เลือดหลายถุง ความคิดที่แว้ปขึ้นมาคือ โห แล้วเลือดของเราที่ไหลนองบนท้องถนน มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย เสียดายจัง ในขณะที่ใครก็ไม่รู้มาบริจาคเลือดเพื่อช่วยชีวิตเรา ตอนนั้นคิดแบบนั้นจริง ๆ


หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นที่รอดชีวิตมาได้เพราะการบริจาคเลือดจากผู้ใจบุญ ผู้เขียนจึงเริ่มบริจาคเลือดทุก ๆ 3 เดือน หรือทุกครั้งที่มีโอกาส ด้วยเหตุผลที่ว่า ถ้าฉันจะต้องเสียเลือด เลือดของฉันต้องเป็นประโยชน์ต่อผู้คน ไม่ใช่ไหลนองไร้ประโยชน์บนท้องถนน  ทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่เคยคิดจะบริจาค เพราะมีความกลัวเข็มอย่างมาก 


ผู้เขียนบริจาคเลือดได้ไม่กี่ปี สุดท้ายก็ต้องหยุดบริจาค เพราะมีโรคประจำตัวที่ต้องกินยาทำให้ไม่สามารถบริจาคเลือดได้ 

ดังนั้น โอกาสการเป็นผู้บริจาคเลือดจึงจบลง


เล่ามาขนาดนี้ เพื่อจะบอกว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ และถ้าวันนี้คุณสามารถบริจาคเลือดได้ คุณคือผู้โชคดีที่มีโอกาสช่วยชีวิตผู้อื่น โชคดียังไงนะหรือ?

1.การบริจาคเลือดเป็นการถ่ายเทเลือดที่มีอยู่ออกไป ร่างกายก็จะผลิตเลือดใหม่ขึ้นมาแทนที่ 


2.เป็นการทำบุญที่ไม่ต้องใช้เงิน 


3. หากเชื่อเรื่องบุญ กรรม การบริจาคเลือดถือเป็นบุญใหญ่ เพราะการช่วยให้คนหนึ่งคนรอดชีวิต นั่นหมายถึงเราได้ช่วยอีกหลายชีวิตที่เป็นครอบครัว พ่อ แม่ พี่น้อง เพื่อนของเขาคนนั้น คิดเพียงเท่านี้ความสุขใจก็เกิดขึ้นแล้ว


4. ถ้าคุณเชื่อเรื่องดวงชะตา โหราศาสตร์ เวลาดาวบาปเคราะห์มากระทบดวงตก อาจทำให้มีอุบัติเหตุถึงขั้นเลือดตกยางออก การบริจาคเลือดถือเป็นการสะเดาะเคราะห์แก้เคล็ด เพราะเลือดออกจากร่างกายเจ้าชะตาแล้ว สำหรับคนที่ดวงดีอยู่แล้ว การบริจาคเลือดก็จะเป็นการเสริมดวงชะตาทำให้มีสุขภาพดี มีสิ่งดี ๆ เข้ามา


การเป็นผู้ให้ โดยเฉพาะให้ชีวิตย่อมสุขใจยิ่งกว่าการเป็นผู้รับ

ถ้าเลือกได้ คุณจะเลือกเป็นผู้ให้หรือผู้รับดีคะ   ผู้เขียนแปะลิงก์ของศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติไว้ให้แล้ว กดที่ลิงก์เข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้เลยค่ะ 


ขอบคุณทุกการติดตาม แล้วพบกันใหม่ในบทความครั้งหน้าค่ะ


ข้อมูล


ข้อมูลดี ๆ บริจาคโลหิตดีอย่างไร ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย


https://www.sanook.com/health/5209/




ติดตามผลงานผู้เขียน


Facebook : Phaka Tip


Blogger: Phakatip


Page: Crafts from Clay




ความคิดเห็น

  1. ดีจังเลนค่ะพี่จิน หนูยังไม่เคยบริจาคเลือดเลยค่ะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ขอบคุณมากค่ะ คุณริน ถ้ามีโอกาสและร่างกายพร้อม บริจาคเลยค่ะ เลือดของเราจะได้ช่วยชีวิตผู้คนค่่ะ

      ลบ
  2. ดีจังค่ะน้องจินป้ายังไม่เคยบริจาคเลือดไปถึงที่รับบริจาคเป็นลมทุกทีแฮ่ๆ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ขอบคุณมากค่ะ ป้าสุด ถ้ามีโอกาสลองเลยค่ะ เจ็บหน่อยเดียวจริง จริ๊ง✌ 💕

      ลบ
  3. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ
  4. หมูเคยไปบริจาคแล้ว แต่หมอบอกว่า ไม่สามารถให้ผู้อื่นได้ค่ะ เพราะเลือดน้อย แถมยังบอกให้กินต้มเลือดหมูบ่อย ๆ ค่ะ อดเลย

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. บำรุงร่างกาย พักผ่อนเยอะ ๆ ขอให้สุขภาพดีเยี่ยมนะคะ คุณนายหมู

      ลบ

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

มารู้จักเครื่องอบขนมอาลัว

  มารู้จักเครื่องอบขนมอาลัว เมื่อหลายปีก่อน สมัยที่เริ่มเข้าสู่โลกโซเชียลใหม่ ๆ เลื่อนหน้าเฟส สายตาก็ไปหยุดอยู่ที่ขนมอาลัวดอกกุหลาบสวย ๆ ผู้เขียนได้แต่มอง & สงสัยว่าเขาทำกันยังไงนะ ลำพังอาลัวธรรมดาที่เป็นรูปหยดน้ำก็พอจะเข้าใจวิธีบีบแป้ง แต่สำหรับอาลัวกุหลาบ 555 ตอนนั้นตีลังกาคิดอยู่หลายวันว่าเขาทำกันยังไงก็คิดไม่ออก เพราะไม่มีความรู้เรื่องการทำขนมเลยค่ะ กฎแรงดึงดูดทำงานตลอดเวลา เราคิดถึงสิ่งใดเราจะยิ่งเห็นสิ่งนั้น นอกจากภาพอาลัวจะมาปรากฎที่หน้าเฟสทุกครั้งแล้ว อีกไม่กี่วันต่อมาผู้เขียนก็ได้เจอคอร์สสอนทำขนมอาลัวกุหลาบ ซึ่งสมัยนั้นมีผู้สอนน้อยราย และไม่เป็นที่เผยแพร่นัก คอร์สนี้เป็นคอร์สที่ต้องไปเรียนกับผู้สอนโดยตรง ไม่ใช่คอร์สออนไลน์อย่างในปัจจุบัน ผู้เขียนจึงรีบหาเวลาไปเรียนทันที  เมื่อไปเรียนแล้ว บอกเลยว่าไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่ายนัก ที่่ว่าไม่ยากนั่นคือ อาลัวเป็นขนมที่มีส่วนผสมน้อยชนิดและมีวิธีทำที่แสนจะธรรมดา ขอแค่ใส่ใจและมีเทคนิิคเล็กน้อย แต่ที่บอกว่าไม่ง่ายนั่นก็คือ จะทำอย่างไรให้ขนมแห้ง กรอบและมีสีสวยน่ากินนี่สิ ดั้งเดิมนั้น อาลัวเป็นขนมที่มีมาตั้งแต่ครั้งสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

ครั้งแรกกับการปรึกษาแพทย์ทางโทรศัพท์ รพ.จุฬาภรณ์ หลักสี่

ครั้งแรกกับการปรึกษาแพทย์ทางโทรศัพท์ รพ.จุฬาภรณ์ หลักสี่ Pixabay ทุกคนต้องมีครั้งแรกใช่ไหมคะ  การระบาดของ Covid-19 ระลอกใหม่ในครั้งนี้ ก็ทำให้ผู้เขียนมีประสบการณ์ ครั้งแรกกับการปรึกษาแพทย์ทางโทรศัพท์ เช่นกันค่ะ เนื่องจากในวันที่ 6 ม.ค. 2564 ผู้เขียนมีนัดพบคุณหมอที่แผนกอายุรกรรม รพ.จุฬาภรณ์ หลักสี่ ซึ่งเป็นการนัดเพื่อรับยาตามปกติ (เมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่นตอนปลาย….ก็มักจะมีโรคประจำตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้างเป็นธรรมดา จริงไหมคะ) เมื่อมีสถานการณ์ Covid-19 ที่ทุกคนต้องดูแลตนเอง เพราะไม่รู้ว่าเราจะไปใกล้ชิดคนที่มีเชื้อเมื่อไหร่ ผู้เขียนก็รู้สึกกังวลว่าเราจะไปดีมั้ย จะเสี่ยงหรือไม่ เพราะการไปรพ. ก็เป็นจุดที่ต้องเพิ่มความระมัดระวัง แต่ยาประจำตัวก็จะหมด ถ้าไม่ไปรพ. แล้วจะเอายาที่ไหนกินล่ะทีนี้   ขณะที่กำลังชั่งใจอยู่นั้น ก่อนวันนัด 2 วัน คือวันที่ 4 ม.ค. ทางโรงพยาบาลก็โทรมา โดยคุณพยาบาลโทรมาแจ้งว่า ผู้เขียนมีนัดพบคุณหมอในวันที่ 6 นี้ แต่ด้วยสถานการณ์ Civid-19 คนไข้จะมาพบคุณหมอตามนัดหรือจะให้คุณหมอโทรพูดคุยปรึกษาอาการทางโทรศัพท์ดีคะ และหากคุณหมอสั่งยา ทางรพ.จะส่งยาให้ทางไปรษณีย์ ไม่ต้องกังวล โอ้โฮ…

อย่ามองว่าเป็นแค่กาฝาก

อย่ามองว่าเป็นแค่กาฝาก อย่างที่เคยเขียนเกี่ยวกับต้นทับทิมว่าเป็นต้นไม้มงคล ทับทิมไม้มงคลความหมายดี ผู้เขียนจึงปลูกต้นทับทิมไว้ที่หน้าบ้าน ซึ่งต้นสูงเลยรั้วบ้านแล้ว เมื่อหลายเดือนก่อนขณะรดน้ำต้นไม้ ผู้เขียนสังเกตเห็นกาฝาก วิกิพีเดีย กาฝาก กิ่งเล็ก ๆ เกาะอยู่บนยอดทับทิม แต่ก็มองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยก็แค่กาฝาก และต้นทับทิมก็สูงมาก ถ้าจะตัดกาฝากออกต้องปีนบันไดขึ้นไป อย่างนั้นเอาไว้ก่อนละกัน  จากนั้นไม่กี่เดือนต่อมา สังเกตว่าต้นทับทิมที่เคยมีใบเขียวสดชื่น กลับแห้งเหี่ยว ส่วนเจ้ากาฝากกลับมีกิ่งก้านและรากที่โตขึ้นมาก ยึดเกาะกิ่งทับทิมอย่างแน่นหนา เจ้ากาฝากดูดอาหารจากต้นทับทิมนี่เองทำให้ทับทิมเหี่ยวแห้ง ถ้าปล่อยให้ต้นทับทิมยืนแห้งอยู่หน้าบ้านแบบนี้ไม่ดีแน่ มองแล้วหดหู่ดูไม่สดชื่น ผู้เขียนจึงคิดว่าควรตัดออกทั้งต้น แต่เครื่องมือมีเพียงกรรไกรตัดกิ่งไม้กับใบเลื่อยเล็ก ๆ เท่านั้น   แม้เครื่องมือไม่พร้อมแต่ใจพร้อมลุยเลยละกัน แล้วปฏิบัติการเคลียร์คืนความสดชื่นก็เริ่มขึ้น โดยการปีนบันไดขึ้นไปตัดกิ่งที่สามารถตัดได้ก่อน กว่าจะตัดเสร็จเล่นเอามือระบม เพราะกิ่งทับทิมแข็งมีหนามแหลมคม กรรไกรก็เล็กเกิน ถ้าไ